4074 จำนวนผู้เข้าชม |
สำหรับคนรักกาแฟ คงไม่มีใครไม่รู้จักเมนูกาแฟสุดชิวอย่างกาแฟดริป (Drip Coffee) ซึ่งชื่อเมนูนั้นมาจากวิธีการชงผ่านตัวกรอง (Filter) ที่แต่ละขั้นตอนล้วนต้องใช้ความตั้งใจที่พิถีพิถัน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับใครที่ไม่ชอบทำอะไรเร่งรีบ รักในการดื่มด่ำกาแฟแบบช้า ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ค่อย ๆ สัมผัส Flavors กาแฟอย่างค่อยเป็นค่อยไป หนึ่งในเสน่ห์มัดใจคนรักกาแฟสายชิวแบบไม่ปรุงแต่ง ที่ให้ความสำคัญของกลิ่น (Aroma) และรสชาติ (Taste) ดั้งเดิมของเมล็ดกาแฟเป็นสำคัญ...
Drip Coffee มอบสัมผัสที่แท้จริงของเมล็ดกาแฟ ความสนุกและน่าสนใจของเมนูนี้อยู่ที่ความหลากหลายของรสกาแฟแต่ละสายพันธุ์ ซึ่งมีหลากหลายสายพันธุ์จากทุกทวีปทั่วโลก แต่ละแหล่งเพาะปลูกก็จะมี Flavors ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาทิ หากชอบทานกาแฟรสเปรี้ยวที่มีกลิ่นหอมของผลไม้ ก็เลือกเมล็ดกาแฟอาราบิก้าจากเอธิโอเปีย หรือหากชอบกาแฟที่มีความนัทตี้ผสมช็อกโกแลต ก็ต้องอาราบิก้าจากบราซิลเท่านั้น ซึ่งการชงกาแฟด้วยวิธีการดริปนั้น จะทำให้คุณรับรู้ถึงรสสัมผัสแฝงเหล่านี้ได้ชัดเจนมากกว่ากาแฟเมนูอื่น เปิดประสบการณ์การดื่มกาแฟที่ไม่ได้มีแค่รสขมเข้ม แต่มอบรสชาติที่อร่อยเหมือนจิบไวน์หรือน้ำผลไม้ชั้นดี ทั้งอร่อย ทั้งสนุก เพลิดเพลินได้เรื่อย ๆ ตลอดทั้งวัน
การชงกาแฟแบบ Drip Coffee
ความเรียบง่ายที่ประณีต คือหัวใจสำคัญของการดริปกาแฟ อุปกรณ์เครื่องมือหลากชิ้น ที่แต่ละชิ้นล้วนมีความสำคัญในตัวเองที่ไม่น้อยไปกว่ากันเลย เรียกได้ว่าหากขาดชิ้นใดชิ้นหนึ่งไปก็จะทำให้กาแฟดริปของคุณขาดอรรถรสที่นำไปสู่สุนทรียะแห่งกาแฟ
อุปกรณ์การ Drip Coffee
1. ดริปเปอร์ (Dripper)
อุปกรณ์ดริปชิ้นแรกที่มือใหม่หัดดริปต้องมี ซึ่งลักษณะของดริปเปอร์แต่ละแบบก็สกัดรสชาติของกาแฟออกมาได้ต่างกัน หากคุณอยากดริปกาแฟให้ออกมารสชาติแบบไหน ต้องไม่พลาดที่จะเลือกดริปเปอร์ที่ถูกต้องและเหมาะสมตรงกับความต้องการ
ลักษณะของ Dripper แบ่งได้เป็น 3 แบบหลัก ๆ ได้แก่
ดริปเปอร์ทรงกรวย (Cone)
มีลักษณะรูปทรงกรวยที่ด้านปลายจะทะลุเป็นรูกว้าง ตัวกรวยเอียงทำมุม 60 องศา ซึ่งเป็นมุมที่ช่วยสกัดกาแฟให้ได้รสชาติดั้งเดิมของเมล็ดกาแฟที่ครบด้วน ด้านในมีแนวเกลียวอยู่โดยรอบ ช่วยให้การไหลของน้ำผ่านไปสู่ผงกาแฟบดได้อย่างราบรื่น แต่ต้องระวังไม่ให้น้ำไหลผ่านกาแฟเร็วเกินไป จนสกัดกาแฟได้ไม่ทั่วถึง ซึ่งจะทำให้คุณพลาดรสชาติสุดพิเศษของเมล็ดกาแฟไปอย่างน่าเสียดาย
ดริปเปอร์ทรงกรวยตัด หรือทรงคางหมู (Trapezoid)
ลักษณะที่คล้ายดริปเปอร์ทรงกรวย ที่ส่วนปลายถูกตัดออกและบีบให้เหลือแค่แนวเส้นตรงเล็ก ๆ ที่มีรูระบายน้ำเพียง 1 – 3 รู โดยเจ้ารูเล็ก ๆ นี้จะช่วยสร้างศิลปะแห่งการแช่และไหลผ่าน ช่วยให้น้ำร้อนค่อย ๆ แทรกตัวผ่านผงกาแฟบดและไหลลงสู่โถรองดริป (Server) อย่างช้า ๆ และสม่ำเสมอ การรินน้ำจึงกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องใช้ความพิถีพิถันและความใจเย็นเป็นอย่างมาก เพื่อไม่ให้กาแฟถูกสกัดออกมามากจนเกินไป (Over-extraction) โดยดริปเปอร์ทรงคางหมูนี้ จะช่วยให้คุณดริปกาแฟออกมาได้รสที่เข้มที่สุดในดริปเปอร์ทั้ง 3 แบบ
ทรงกระบอก หรือตะกร้า (Cylindrical Shape Dripper or Basket Shape)
เป็นอีกทรงที่นิยมกันมาก มีทั้งทรงกระบอกแบบแบนกลม และแบบหยักคล้ายตะกร้า ที่ช่วงปลายมีรูระบายน้ำเล็ก ๆ 3 รู แต่จะไม่มีที่พักน้ำให้ค้างอยู่ภายในดริปเปอร์แบบทรงคางหมู ทำให้ควบคุมการไหลของน้ำได้ง่ายขึ้น กาแฟถูกสกัดออกมาได้รสชาติที่กลมกล่อมลงตัว Body ไม่มากเกินไป
1.วัสดุที่ใช้ทำ Dripper
แก้ว : ทนความร้อนได้ดี จึงสามารถควบคุมอุณหภูมิของน้ำร้อนขณะสกัดให้คงที่ ไม่ลดลงเร็วเกินไป รวมถึงไม่ทำปฏิกิริยากับกาแฟ มอบรสชาติที่แท้จริงให้คุณดื่มด่ำได้อย่างเต็มที่
เซรามิก : สีสันที่สวยงามดึงดูดความสนใจให้น่าหยิบใช้ เซรามิกเป็นฉนวนกันความร้อนชั้นเยี่ยม ที่ช่วยรักษาอุณหภูมิของน้ำร้อนที่สกัดกาแฟให้คงที่ มอบ Drip Coffee ที่รสชาติมั่นคง
พลาสติก : เหมาะสำหรับพกพา ใช้งานง่ายไม่ต้องกลัวแตก ถ่ายเทความร้อนได้ดี จึงทำให้อุณหภูมิในน้ำร้อนลดลงกว่าดริปเปอร์รุ่นอื่น ๆ เล็กน้อย
โลหะ : วัสดุนำความร้อนที่คายความร้อนได้ดีเช่นกัน Drip Coffee ที่ใช้ดริปเปอร์โลหะจึงให้รสชาติที่หลากหลายมิติ จัดจ้าน เข้มข้น บางครั้งมีความเปรี้ยวเพิ่มขึ้นกว่ารสชาติเดิมเล็กน้อย
2.กระดาษกรอง (Paper Filter)
การเลือกกระดาษฟิลเตอร์ โดยกระดาษฟิลเตอร์ หรือกระดาษกรองมีให้เลือกทั้งหมด 3 ประเภท โดยแต่ละประเภทนั้น เลือกใช้แตกต่างกันตามลักษณะของดริปเปอร์ที่คุณมี
1. กระดาษฟิลเตอร์ทรงกรวยปลายแหลม ใช้กับดริปเปอร์ทรงกรวย
2. กระดาษฟิลเตอร์ทรงกรวยก้นตัด ใช้กับดริปเปอร์ทรงกรวยตัด (ทรงคางหมู)
3. กระดาษฟิลเตอร์ทรงดอกไม้ (แบบหยัก) ใช้กับดริปเปอร์ทรงกระบอก หรือตะกร้า
3. โถรองดริป (Server)
อุปกรณ์รองรับน้ำกาแฟที่ผ่านการสกัดจากดริปเปอร์ โดยโถรองดริปนั้นจะมีรูปทรงคล้ายเหยือกน้ำ ทำจากแก้วเพื่อให้เห็นความสวยงามของกาแฟที่หยดลงมา รวมถึงแก้วจะช่วยรักษาความร้อนไว้ได้ดี จึงคงรสสัมผัสของกาแฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. กาดริป (Drip kettle)
กาสำหรับดริปกาแฟนั้น มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ โดยส่วนมากจะทำจากสแตนเลส และเทปล่อน เพื่อเก็บรักษาอุณหภูมิให้คงที่มากที่สุด สิ่งสำคัญในการเลือกกาดริป คือ รูปากของกาน้ำที่ต้องเล็กเรียว ให้น้ำออกมาได้ทีละน้อย ๆ ในปริมาณที่ผู้เทสามารถควบคุมได้ เพื่อให้การดริปกาแฟได้รสชาติกาแฟแท้ที่สมดุลที่สุด
5. เครื่องบดเมล็ดกาแฟ (Coffee Grinder)
หากคุณได้เมล็ดกาแฟชั้นดีมา การจะส่งต่อความอร่อยเข้มไปยังกระบวนการดริปกาแฟได้นั้น ต้องมีผู้ช่วยอย่างเครื่องบดกาแฟ ที่จะทำให้ได้ Drip Coffee ที่ถ่ายทอดสัมผัสของเมล็ดกาแฟออกมาได้อย่างน่าประทับใจ โดยเครื่องบดกาแฟที่นิยมใช้กันมากนั้นจะมีอยู่ 2 แบบ คือ
1. Blade Grinder
เครื่องบดแบบใบมีด ที่มีทั้งแบบมอเตอร์และแบบแมนนวลใช้มือหมุน ข้อดีของเครื่องบดประเภทนี้คือราคาที่ถูก พกพาง่าย ทำความสะอาดสะดวก แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ให้ผงกาแฟที่ไม่ค่อยสม่ำเสมอกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อกลิ่นและรสสัมผัสของกาแฟที่จางลง หรือเข้มขึ้น รสชาติเปลี่ยนที่ยากจะคาดเดา
2. Conicial Burrs Grinder
เป็นประเภทที่คนรักการดริปกาแฟนิยมเลือกใช้ ด้วยผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างมีคุณภาพ เฟืองบด 2 ชิ้น ที่มีทั้งแบบทำจากเซรามิกและโลหะ ทำให้ผงกาแฟที่ได้ละเอียดสม่ำเสมอกัน มีให้เลือกใช้ทั้งแบบไฟฟ้า และแบบมือหมุน ที่สำคัญสามารถปรับความละเอียดของผงกาแฟที่ต้องการได้ด้วย ทำให้ได้ผงกาแฟที่มีคุณภาพไปทำการดริปจนได้กาแฟดำรสคลีน ๆ ที่คุณสามารถรับรู้ได้ทุกรสชาติของเมล็ดกาแฟ ไม่ว่าจะเป็นรสเปรี้ยว (Acidity) รสและกลิ่นแบบผลไม้ดอกไม้(Fruity & Floral) หรือแบบถั่วและช็อกโกแลต (Nutty & Chocolate) โดยเครื่องบดประเภทนี้จะรักษา Flavors กาแฟไว้ได้คงที่อย่างลงตัว
6. เครื่องชั่งกาแฟ (Digital Scale)
เพื่อวัดปริมาณน้ำกาแฟที่ผ่านกระบวนการดริปมาแล้ว ให้ได้ Drip Coffee ที่มอบรสชาติดั้งเดิมของเมล็ดกาแฟได้อย่างถูกต้องตรงใจ
7. เมล็ดกาแฟ (คั่วอ่อน – คั่วกลาง)
เมล็ดกาแฟนั้น สามารถแบ่งระดับการคั่วได้ถึง 3 ระดับ โดยแต่ละระดับก็มอบรสชาติกาแฟที่มีเสน่ห์แตกต่างกันไป
Light Roast (คั่วอ่อน)
สี : น้ำตาลอ่อนปานกลาง
การคั่วระดับนี้จะไม่มีน้ำมันเกาะติดเมล็ด รสชาติกาแฟจะมีความเข้มน้อย บอดี้กาแฟเบา
กาแฟยังคงให้กลิ่นและรสชาติยังเป็นธรรมชาติ ให้ความรู้สึกถึงผลไม้
ทำให้สัมผัสถึงความเปรี้ยวชัดเจน และเหมาะกับการชงเมนูร้อน
Medium Roast (คั่วกลาง)
สี : น้ำตาลเข้มขึ้น
เมล็ดกาแฟเริ่มมีผิวมัน แต่ยังไม่มีน้ำมันออก รสชาติกาแฟจะมีความเข้มปลานกลาง บอดี้กาแฟเริ่มเข้มขึ้น
แต่ยังคงรสเปรี้ยวหวานเล็กน้อย สามารถชงกาแฟได้ทั้งร้อนและเย็น
Dark Roast (คั่วเข้ม)
สี : น้ำตาลเข้มไปจนถึงสีดำ
เมล็ดกาแฟเปลี่ยนจากสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ผิวของเมล็ดกาแฟจะมีน้ำมันเคลือบเห็นได้ชัดเจน
ซึ่งเป็นไขมันดีในเมล็ดกาแฟ มีกลิ่นหอมกาแฟคั่ว รสชาติกาแฟเข้มมาก บอดี้หนักแน่น ไม่หลงเหลือความเปรี้ยว
โดยระดับคั่วที่เหมาะกับการทำ Drip Coffee นั้น คือคั่วอ่อนและคั่วกลาง ให้คุณได้สัมผัสรสชาติที่แท้จริงของเมล็ดกาแฟได้อย่างมีอรรถรส
ชอบคั่วระดับไหน ทางร้านมีให้ลูกค้าได้ลองชิม ลองแวะมาเลือกชิมที่มิสเตอร์คอฟฟี่กันได้เลยนะคะ
เมล็ดกาแฟของเรามาหลากหลายสูตร
- เมล็ดกาแฟคั่ว Light Roast เมล็ดกาแฟอราบิก้า 100% ระดับการคั่วออน หอมหวานนวล อ่อนนุ่มละมุน ขมน้อยมาก ออกรสเปลี้ยวอมหวานชัดเจน เหมาะสำหรับคนที่ชอบกินการแฟดริป ทั้งยังบรรจุภัณฑ์ ด้วยระบบไนโตรเจน ที่ได้มาตรฐานจึงคงกลิ่นและรสชาติได้นาน บรรจุถุงละ 500g.
- เมล็ดกาแฟคั่ว Espresso Roast เมล็ดกาแฟอราบิก้า 100% ระดับการคั่วเข้มมาก ให้ความเข้มสูงกว่าสูตรกาแฟชนิดอื่น กลิ่นอโรม่าหนักแน่น ตามด้วยกลิ่นสโมกกี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกาแฟดำ ขม เข้มหรือ นำไปชงในสูตรกาแฟเย็น บรรจุถุงละ 500g.
- เมล็ดกาแฟคั่ว French roast เมล็ดกาแฟอราบิก้า 100% ระดับการคั่วเข้ม สีน้ำตาลอมแดง ให้ความหวานหอมเข้มกลมกล่อม ติดกลิ่มคาราเมลอ่อนๆ เคลือบด้วยอโรม่าออยล์ เนื้อสัมผัสถึงรสชาติกาแฟ เหมาะสำหรับชงกาแฟเย็น ในเมนูต่างๆ ทั้งยังบรรจุภัณฑ์ ด้วยระบบไนโตรเจน ที่ได้มาตรฐานจึงคงกลิ่นและรสชาติได้นาน บรรจุถุงละ 500g.
- เมล็ดกาแฟคั่ว Italian Roast เมล็ดกาแฟอราบิก้า 100% ระดับการคั่วกลาง หอมนุ่ม สดชื่น ได้ความกลมกล่อมกำลังดี เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบกาแฟคั่วเข้มจนเกินไป ชงเป็นกาแฟอเมริกาโน่ก็ดีใส่นมก็อร่อย บรรจุถุงละ 500g.
อัตราส่วนปริมาณกาแฟต่อน้ำ
โดยปกติการดริปกาแฟนั้น จะใช้กาแฟต่อน้ำในอัตราส่วน 1 : 15 กรัม แต่ก็ไม่ใช่กฎเกณฑ์ตายตัว เพราะสามารถปรับลดเพิ่มได้ตามรสชาติที่ต้องการ เช่น หากต้องการดื่มกาแฟที่รสชาติเข้มข้น ก็ใช้น้ำในอัตราส่วนที่น้อยลง แต่หากอยากดื่มด่ำกาแฟใสสัมผัสเบา ๆ ก็เพิ่มอัตราส่วนของน้ำขึ้น ประมาณ 1 : 17 กรัมกำลังดี
อุณหภูมิของน้ำ
อุณหภูมิของน้ำถือเป็นปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญ จึงควรเลือกกาดริป (Drip Kettle) ที่มีเทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิด้วย หรือซื้อแยกมาเสียบวัดอุณหภูมิของน้ำก่อนลงมือดริปกาแฟ ซึ่งอุณหภูมิที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 92 – 94 องศา โดยประมาณ น้ำที่ร้อนจนเกินไป จะทำให้คุณได้กาแฟที่มีรสชาติเข้มขึ้น
การเทน้ำและระยะเวลา
เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องหมั่นฝึกฝน และใช้ประสบการณ์ การเทน้ำที่มั่นคง ค่อย ๆ เทและวนไปให้ทั่วผงกาแฟที่อยู่ภายในดริปเปอร์
น้ำที่ไหลช้า : เท่ากับคุณใช้เวลาในการสกัดกาแฟนาน ทำให้กาแฟที่ได้จะมีรสเข้มขมมากกว่าปกติ
น้ำที่ไหลเร็ว : เท่ากับคุณใช้เวลาในการสกัดที่เร็วเกินไป ทำให้ได้กาแฟรสเบา ๆ ใส ๆ Body กาแฟจางลง แต่มีรสเปรี้ยวที่โดดเด่นออกมาแทน
ทั้งหมดนี้ คือ การดริปกาแฟ ทำยังไงให้รสชาติดี... กาแฟดริป เป็นกาแฟที่ใครได้ลองเป็นติดใจ เครื่องดื่มที่ร่ายมนต์ใส่ผู้ที่ลิ้มลอง ให้หลงใหลในทุกขั้นตอนของการดริปไปจนถึงรสสัมผัสที่แตกต่างจากเมนูกาแฟอื่น ๆ เสน่ห์ของรสชาติที่แลกมาด้วยขั้นตอนที่เต็มไปด้วยความพิถีพิถันและตั้งใจ สิ่งนี้แหละที่ทำให้คอกาแฟหันมาหลงรักกาแฟดริปแบบยากที่จะถอนตัว...